ลูกวัวไม่กลัวเสือ
โดยบังเอิญที่เมื่อวานได้มีโอกาสสัมภาษณ์พูดคุยกับน้องเฟิร์น นัทธมน แห่งสุกี้ตี๋น้อยในวันที่ข่าวสงครามยุทธหัตถีสุกี้ตี๋น้อยกับ MK เต็มฟีด
ผมสัมภาษณ์เฟิร์นมาหลายครั้ง ตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อน ตอนนั้นเฟิร์นเริ่มประสบความสำเร็จแล้วในวัยยังไม่ถึงสามสิบจนตอนนี้เฟิร์นในวัย 33 เป็นคุณแม่มือใหม่ไปเรียบร้อย
ปีที่แล้วสุกี้ตี๋น้อยกำไรพันกว่าล้าน ปีนี้ไตรมาสแรกที่ว่าเศรษฐกิจแย่ๆก็กำไรเกือบสามร้อยล้าน แต่เฟิร์นก็ยังเหมือนเดิม ซื่อๆ ขยันทำงาน ลงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเอง และถ่อมตัวสุดๆว่าตัวเองไม่ค่อยรู้อะไร อันนี้ก็ยังไม่เก่ง ตรงนี้ก็ยังไม่ดี
จนทั้งห้องหัวเราะว่า สาวน้อยที่ดูไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง ยังคลำทางที่จะทำให้ธุรกิจดีขึ้นแบบนี้ กำไรแตะพันล้านไปแล้ว..
Mid life crisis
เป็นคำที่เฟิร์นใช้ตอนที่อายุ 25 กลับมาทำงานประจำเป็นจัดซื้ออยู่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งหลังจากกลับมาจากการเรียนต่อที่ต่างประเทศ ในตอนนั้นพ่อส่งเสียให้เรียนจบแต่พอทำงานแล้วก็ให้อยู่ด้วยเงินเดือนตัวเองหลักสองหมื่นบาทซึ่งแทบจะไม่พอใช้
เฟิร์นรู้สึกว่าอีกห้าปีก็สามสิบแล้ว ยังไม่มีหลักมีฐานอะไร จะแต่งงานจะมีลูกแล้วจะทำยังไง เลยตัดสินใจลาออกจากงานมาเพื่อหาลู่ทางใหม่ๆ
ในใจตอนนั้นคือต้องการแค่สร้างฐานะ อยากมีตังค์ มีครอบครัวได้ จะทำธุรกิจอะไรก็ไม่เกี่ยง ทั้งที่ตัวเองจบ luxury brand management เริ่มต้นก็หาธุรกิจที่ทำแล้วน่าจะขยายได้และอยากทำร้านอาหาร พ่อผู้ซึ่งเปิดและปิดมาหลายร้านก็เตือนว่า ถ้าทำร้านอาหารแล้วต้องพึ่งพ่อครัว ก็จะขยายลำบาก แค่สองสาขารสมือก็ต่างแล้ว
พอดีพ่อทำบ้านบางเขน ที่เป็นพื้นที่ตกแต่งแบบย้อนยุค เหมือนคอมมูนิตี้มอลล์เล็กๆ เฟิร์นเลยขอเช่าพื้นที่ไม่ใหญ่ตรงนั้นและเปิดร้านสุกี้ดู ขอแม่ครัวคนเก่าคนแก่พ่อมาช่วย ลองทำแบบงูๆปลาๆแบบไม่มีประสบการณ์อะไรเลย
จุดกำเนิดสุกี้ตี๋น้อย
ชื่อสุกี้ตี๋น้อยก็ตั้่งง่ายๆให้เรียกง่าย โลโก้ก็ให้เพื่อนพ่อที่ชอบออกแบบโลโก้ช่วยวาดให้ ที่ตั้งราคา 199 บาทก็เพราะว่าในสมัยนั้นบุฟเฟ่ต์แบบนี้ก็ราคานี้เป็นส่วนใหญ่
ที่ต่างออกไปตั้งแต่ต้นก็น่าจะตรงที่เฟิร์นไปตระเวนกินบุฟเฟ่ต์ 199 บาทแล้วรู้สึกไม่ชอบใจหลายอย่าง ตั้งคำถามว่าพอราคาถูกแล้วทำไมสถานที่ต้องดูไม่ดี ไม่มีแอร์ บริการก็ไม่ดี เวลามาทำเองก็เลยอยากทำให้ดี อย่างน้อยพอพาเพื่อนมาได้โดยไม่อาย
ก็เริ่มต้นด้วยการเป็นร้านบุฟเฟ่ต์ 199 ที่มาเสริฟที่โต๊ะ สะอาด มีแอร์ ร้านแรกก็กระท่อนกระแท่น มีโต๊ะแค่ 10 โต๊ะ เปิดใหม่ๆต้องเรียกเพื่อนๆมาช่วยกินฟรีเพราะไม่มีคนด้วยซ้ำ
เฟิร์นบอกว่าก็แทบไม่ได้มีกำไร เป็นการทดลองเรียนรู้ ครูพักลักจำเอามากกว่า โดนโกงก็บ่อย แต่พ่อก็สอนว่าถ้าจะเข้มแล้วไล่คนโกงเล็กโกงน้อยออกหมด ก็จะไม่มีใครทำงานให้ เฟิร์นก็จะเรียนรู้ที่จะหลับตาข้างนึงเพื่อให้ธุรกิจเดินต่อได้ ค่อยปรับค่อยแก้ไป
จุดเปลี่ยนสุกี้ตี๋น้อย
เฟิร์นบอกว่าจุดเปลี่ยนจริงๆเกิดจากสาขาที่สองที่ไปขอเช่าที่ไนท์คลับของพ่อที่ปล่อยรกร้างมาหลายปี เป็นที่ที่มีที่จอดรถกว้างขวาง เพดานสูงมาก ดูโอ่โถงจนไม่น่าจะเป็นร้านสุกี้ 199 ได้ แต่พอเปิดซักพัก หลายๆอย่างผสมกันตั้งแต่อาหารที่ถูกปาก ราคาดี การบริการที่ดี และมาอยู่ในสถานที่ที่คาดไม่ถึง
ก็เป็นกระแสคอนเท้นท์ในยุคที่เพิ่งมีอินฟลู ทำให้กลายเป็นทอร์คออฟเดอะทาวน์ขึ้นมาเป็นสาขาแรก และก็มีสาขาสองสามสี่ตามมา
จุดแข็งสุกี้ตี๋น้อย
จากสาขาสองที่เฟิร์นเริ่มเปิดดึกขึ้นเรื่อยๆเพราะแถวนั้นคนเที่ยวกลางคืนเยอะ ทำให้เห็นตลาดของคนกินดึก พนักงานห้างที่เลิกงานแล้วบ้าง คนทำงานกลางคืนบ้าง กลายเป็นจุดขายเพิ่มขึ้นของสุกี้ตี๋น้อย พอเปิดสาขาใหม่ก็เลยไม่เข้าห้างที่มีเวลาเปิดปิดจำกัด ไปดั้นด้นหาทำเลตามคอมมูนิตี้มอลล์ที่มีที่จอดรถกว้างขวาง
เฟิร์นชอบทำเลที่ติดกับแบรนด์ดังอย่างสตาร์บัค KFC เพราะเป็นการยกระดับแบรนด์ไปในตัว คอมมูนิตี้มอลล์เปิดดึกแค่ไหนก็ได้ ตอนหลังๆสุกี้ตี๋น้อยก็เปิดถึงตีห้า เป็นจุดขายที่สำคัญและเป็นจุดที่ทำให้ต้นทุนถูกลงจากเวลาเปิดที่นานขึ้น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญประการหนึ่งของการทำธุรกิจบุฟเฟ่ต์ราคาประหยัด
การมีทำเลนอกห้างนั้นดูเผินๆอาจจะได้เปรียบเรื่องต้นทุน แต่เฟิร์นเล่าว่า การทำบุฟเฟ่ต์ในห้างนั้นมีจุดตายอยู่สองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือเรื่องที่ดูไม่สลักสำคัญแต่เป็นหัวใจเลยก็คือล้างจานให้ทัน เพราะบุฟเฟ่ต์ใช้จานเยอะมาก ต้องมีพื้นที่ใหญ่ ไม่งั้นหมุนจานไม่ทันคนกิน พื้นที่ในห้างมักจะไม่พอ
และอีกประการหนึ่งคือตู้เย็นขนาดใหญ่ เพราะปริมาณการกินนั้นสูงกว่าแบบสั่งเป็นจานมาก
เฟิร์นและคุณตัน
ผมเคยสัมภาษณ์คุณตันแห่งอิชิตันหลายครั้งและก็พบว่าวิธีคิดและ business model ของคุณตันกับเฟิร์นนั้นคล้ายกันมาก ตอนที่คุณตันทำบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น 499 ครั้งแรกที่ทองหล่อในสมัยที่ปลาแซลมอนตามร้านก็สี่ร้อยแล้วนั้น คนเข้าคิวถล่มทลายเพราะถูกและคุ้มจนไม่น่าเชื่อ
คุณตันเล่าว่าเคยอยู่ในห้องน้ำแล้วได้ยินคนข้างนอกโทรคุยตามเพื่อนให้รีบมากินเพราะขายราคาแบบนี้อีกไม่นานก็เจ๋งแน่ … คุณตันฟังแล้วรู้เลยว่ามาถูกทาง
วิธีคิดของคุณตันก็คือ ตั้งราคาและให้ของทั้งปริมาณและคุณภาพแบบไม่กั๊ก จนลูกค้ารู้สึกคุ้มอย่างที่่สุด ให้มีลูกค้าเยอะๆก่อน แล้วพอมีลูกค้าเยอะพอ ก็จะต้องใช้วัตถุดิบจำนวนมาก ก็จะเริ่มมี volume ไปต่อรองกับซัพพลายเยอร์จนราคาถูกลงไปเรื่อยๆ ซักพักหนึ่งก็จะกำไรและกำไรมากขึ้นเรื่อยๆด้วย
คุณตันบอกว่าราคาแซลมอนสั่งตอนวอลุ่มน้อยกับตอนสั่งเยอะๆนั้นต่างกันจาก 100 เหลือ 10 อะไรประมาณนี้เลย
เฟิร์นก็ใช้วิธีเดียวกัน ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อน ไม่ได้คำนวณต้นทุนละเอียด เน้นให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มไว้ก่อน ลูกค้าอยากกินแบบมีชีสก็สั่งชีสมา ลูกค้าอยากกินเนื้อออสเตรเลียก็เอามาก่อน สั่งเท่าไหร่ก็เสริฟแบบไม่กั๊ก พอได้ปริมาณมากก็ไปต่อซัฟพลายเออร์เอา และก็จ่ายซัฟพลายเอร์เร็วเพื่อแลกกับส่วนลดเงินสดต่ออีกได้ด้วย
ทำให้พอได้ขนาดแล้ว ต้นทุนก็ถูกลงกว่าที่อื่นอย่างเห็นได้ชัด ผนวกกับการเปิดร้านนานกว่า อยู่ในที่ที่ค่าเช่าไม่แพง มีอำนาจต่อรองจากแบรนด์ที่แข็งแรง ทำให้สุกี้ตี๋น้อยมีกำไรขั้นต้นที่ดีมากๆเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม
Secret sauce ของเฟิร์น
ผมได้คุยกับเฟิร์นในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา คุยทีไรก็เห็นทะลุผ่านความซื่อๆ ที่ชอบบอกว่าตัวเองยังไม่เก่ง ตรงนี้ก็ยังอ่อน ตรงโน้นก็ยังไม่แข็งแรง แต่เฟิร์นเป็นคนที่ลงมือเอง ทำเอง มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ร้านแรกก็สลัดความเป็นคุณหนูนักเรียนนอก ไปตีสามจ่ายตลาดเอง เลือกผักเลือกปลาเอง นั่งนับใบผักกาดเปรียบเทียบเอง
จนวันนี้ก็ยังเดินตรวจร้าน แอบมองจากไกลๆ ดูตั้งแต่ความสะอาดของกระจก คิวร้านกับโต๊ะที่ว่าง ทิชชู่ที่ตกบนพื้น ฯลฯ
นอกจากนั้น เฟิร์นยังอินกับลูกค้าอย่างที่ฝรั่งเรียก customer obsession แบบที่ไม่ค่อยเจอในเจ้าของคนอื่น ตอนที่ยังมีร้านไม่เยอะ เฟิร์นเป็นแอดมินเอง ตอบปัญหารับคำด่าจากลูกค้าเองทั้งหมด เจอปัญหาอะไรก็จะเอามารีบแก้ เดี๋ยวนี้ไม่ได้ตอบเองแล้ว แต่ก็อ่านทุกคอมเม้นท์
ผมถามว่ามีอะไรที่ทำให้เฟิร์นนอนไม่หลับตอนกลางคืนบ้าง เฟิร์นบอกว่าเรื่องโดนโกงนี่เฉยๆ โดนบ่อยจนชิน แต่ที่นอนไม่หลับคือถ้ามีปัญหาที่ลูกค้าบ่นแล้วยังแก้ไม่ได้ หรือลูกค้าเข้าใจเจตนาของร้านผิดว่ามีกั๊กอาหาร มีลูกเล่นที่ไม่จริงใจ เฟิร์นจะไม่สบายใจอย่างที่สุดแล้วตื่นมาต้องรีบแก้ให้ได้
เคล็ดลับความสำเร็จอีกประการของเฟิร์นที่ผมสังเกตก็คือ เฟิร์นเป็นคนที่ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องกำไรเท่าไหร่นัก ช่วงแรกๆที่เล่าคือแทบไม่รู้ว่าตัวเองกำไรเท่าไหร่ แค่รู้ว่าเงินสดมากขึ้นต่อวันก็โอเคแล้ว ลูกน้องโกงก็เยอะแต่ก็ไม่ได้แคร์อะไรตราบใดที่ยังไม่เข้าเนื้อ ดูบัญชีก็ดูแบบคร่าวๆมาก ห่วงแต่ลูกค้า การบริการ กับพนักงานเป็นหลัก จนตอนหลังมีพาร์ตเนอร์มาก็ถึงจะมีการทำงบประมาณเป็นเรื่องเป็นราว
Jmart เป็น partner
ข่าว Jmart ลงทุนในสุกี้ตี๋น้อย 30% เป็นข่าวใหญ่เมื่อหลายปีก่อน หลายคนก็งงๆว่า Jmart กับ สุกี้ตี๋น้อยมาร่วมกันได้อย่างไรเพราะดูไม่เกี่ยวกันเลย เฟิร์นเล่าแบบซื่อๆว่า มีช่วงนึงรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งเรื่องระบบ โดยเฉพาะ IT และบัญชี ก็เลยมีที่ปรึกษาการเงินแนะนำว่าควรมีพาร์ตเนอร์ ก็เลยลองเปิดให้หลายบริษัทมายื่นข้อเสนอโดยในใจก็มีกรอบไว้ว่า เฟิร์นยังอยากจะทำเรื่องอาหารเอง คิดเมนู มีอิสระในการบุกการคิดในส่วนธุรกิจหลัก แต่อยากได้คนมาช่วยหลังบ้าน ด้านบัญชี IT
เฟิร์นไม่เคยรู้จัก Jmart มาก่อน แต่ประทับใจตรงที่ในช่วงที่เจรจากับหลายเจ้านั้น Jmart เป็นรายเดียวที่ส่งทีมมาช่วยเรื่องบัญชีก่อนโดยไม่ได้มีเงื่อนไขอะไร เป็นน้ำใจที่เป็นเหตุหนึ่งที่เลือก Jmart และหลังจาก Jmart เข้ามาก็มาช่วยในเรื่องความเป็นระบบระเบียบ การจัดทำงบประมาณ การทำ internal control
ตัว jmart เองก็ได้ผลตอบแทนการลงทุนที่คุ้มยิ่งกว่าคุ้มเพราะกำไรสุกี้ตี๋น้อยทะยานเติบโตหลายเท่านับตั้งแต่วันลงทุนในตอนนั้น
อนาคตของสุกี้ตี๋น้อย
เฟิร์นเพิ่งทดลองแตกไลน์ไปทำร้านปิ้งย่างตี๋น้อย เปิดได้สามสาขาก็ได้รับผลตอบรับที่ดีมากๆ ก็น่าจะไปได้ไกล และกำลังขยายไปต่างจังหวัด สร้างครัวกลางใหม่ เตรียมเรื่องการสร้างแบรนด์ต่อเนื่อง เฟิร์นก็ยังมีความกังวลอยู่ตลอดถึงการรักษาสถานะผู้นำในสภาวะที่มีคนเข้ามาแข่งเรื่อยๆ การพัฒนาคุณภาพ และหาอะไรใหม่ๆให้ลูกค้าประทับใจก็เป็นงานที่เฟิร์นลงมือเองทุกวัน
แต่เรื่องที่เฟิร์นคิดหนักคือการเอาสุกี้ตี๋น้อยเข้าตลาดหลักทรัพย์เพราะกลัวจะเสียอิสระและความคิดในการทำเพื่อลูกค้าก่อนไป ถ้าต้องถูกเป้าเรื่องกำไรมาบีบ แต่ก็ทำระบบทุกอย่างให้พร้อมไว้ก่อนแล้วว่ากันอีกที
ข้อความถึงเฟิร์น midlife
ผมถามเฟิร์นว่า ถ้าจะบอกสาวน้อยวัยยี่สิบห้าปีคนนั้น คนที่บอกตัวเองว่ากำลังเจอ midlife crisis ตอนเป็นจัดซื้ออยู่ห้างในตอนนี้ อยากบอกว่าอะไร เฟิร์นคิดอยู่แป๊บแล้วบอกว่า อยากจะขอบคุณที่กล้าตัดสินใจออกจากงาน กล้าทำโดยไม่ถามใคร ไม่กลัวความลำบาก ไม่อายเพื่อนที่ทำงานหรูๆแล้วมาเปิดร้านสุกี้ และอดทนทำงานหนัก ลุยด้วยตัวเอง อยากจะขอบคุณเฟิร์นคนนั้นจริงๆที่ทำให้เฟิร์นมีวันนี้
ผมถามว่าพ่อภูมิใจอะไร เคยชมอะไรหรือไม่ เฟิร์นเล่าว่าพ่อผู้ที่เป็นคู่คิด เป็นผู้ช่วยเบื้องหลังมาตลอดนั้น ไม่เคยชมลูกสาวเลย พ่อเขาเป็นคนแบบนั้น
แต่นึกซักพักก็นึกได้ว่า พ่อเคยชมอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่เฟิร์นเริ่มร้านใหม่ๆแล้วตื่นตีสามไปตลาด ไปซื้อของเอง พ่อชมว่า ‘เฟิร์นก็ลุยเหมือนกันนะ ไม่กลัวลำบากเลย ตอนแรกนึกว่าจะเป็นแบบลูกคุณหนู’
ก็น่าจะเป็นคำชมที่ใครได้ฟังเฟิร์นที่เล่าแบบซื่อๆ อะไรก็ยังไม่ดี ยังไม่เก่ง ยังต้องปรับปรุง ยังมั่วๆกะๆอยู่เลย แต่เอาหัวใจไปใส่กับทุกรายละเอียดและความรู้สึกของลูกค้าเป็นตัวตั้งคนนี้ ก็อยากจะชมเฟิร์นแบบนี้
และวันนึงก็อยากมีโอกาสชมลูกสาวตัวเองแบบนี้ด้วยเช่นกัน…..
ดูเพิ่มเติม :
https://www.facebook.com/61565226717037/posts/122167103618507557
เพจ Facebook :
บริษัท ฐาปนา16 จำกัด – รับเหมาก่อสร้าง ต่อเติม ออกแบบ และบริหารงานก่อสร้าง
บริษัท ฐาปนา16 จำกัด
เรามีทีมงานคุณภาพยินดีให้คำปรึกษาค่ะ
รับเหมาก่อสร้างต่อเติมออกแบบครบวงจร
Tel: 📞 061-859-4545
Email: tpn16.office@gmail.com
ให้คำปรึกษางานก่อสร้าง
รับเหมาก่อสร้าง
TPN16
Tapana16
ฐาปนา16
[vid_embed]